วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
5 ศาลผีเฮี้ยนในเมืองกทม
5 ศาลผีเฮี้ยนในเมืองกทม.
1) ศาลแม่นาคพระโขนง ตั้งอยู่ที่ “วัดมหาบุศย์” เขตสวนหลวง (แยกออกมาจากเขตพระโขนงเดิม) คนทั่วไปมักนิยมเรียกวัดนี้ว่า “วัดแม่นาค พระโขนง” ศาลแม่นาคฯแห่งนี้เป็นศาลเก่าแก่ที่สร้างอิงจากตำนานความรักของนางนาค เมื่อ 100 –200 ปีก่อน ซึ่งทุกวันนี้แม่นาคฯได้กลายเป็นผีไทยที่โด่งดังในระดับอินเตอร์ไปแล้ว แต่ไม่ว่าแม่นาคฯจะโด่งดังขนาดไหน เรื่องราวความเฮี้ยนของแม่นาคฯก็ยังคงมีปรากฏอย่างต่อเนื่อง
2) ศาลเจ้าแม่โพสพ ตั้งอยู่ที่วัดศิริวัฒนาราม ใกล้ปากคลองบางพรหม ตลิ่งชัน ศาลนี้คนเก่าคนแก่บอกกันว่าสร้างอิงจากความเชื่อในเรื่องของการนับถือศาล เจ้าแม่โพสพ เนื่องจากว่าแต่ก่อนพื้นที่ในย่านนี้เคยมีนาและสวนก่อนที่จะกลายเป็นเมือง นับเป็นอีกศาลหนึ่งที่คนนิยมเดินทางมาขอโชคลาภ
3) ศาลศาลาต้นจันทน์ ตั้งอยู่ใกล้วัดระฆัง ไม่ใกล้ไม่ไกลจากสี่แยกโรงพยาบาลศิริราช สำหรับประวัติความเป็นมาลึกๆของศาลแห่งนี้คนแถวนั้นก็ยังบอกไม่ได้ รู้แต่เพียงเลาๆว่าครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นศาลาเอนกประสงค์ ถ้าไม่ใช่ที่สอนหนังสือของเด็กๆก็เป็นที่ตั้งสวดศพ ปัจจุบันศาลาต้นจันทน์ได้ก่อสร้างใหม่เนื่องจากศาลาหลังเก่าทรุดโทรม ซึ่งคนทั่วไปก็มักจะมาขอพรกันที่นี่โดยมีของที่นิยมแก้บนเป็นตุ๊กตานางรำ
4) ศาลงู ศาลนี้ตั้งอยู่ริมถนนสายธนบุรี-ปากท่อ มีชื่อในบันทึกที่ค่อนข้างจะเป็นทางการว่า “ศาลเจ้าแม่จงอางและลูก” คนแถวนั้นเล่ากันว่า ที่ตรงนี้แต่ก่อนจะมีอุบัติเหตุร้ายแรงบ่อยมาก เพราะเชื่อว่าเกิดจากความอาฆาตของงูจงอางเจ้าที่เป็นผู้ทำ เนื่องจากตอนสร้างถนนได้มีการเกรดดินทับงูเจ้าจนตายทั้งแม่และไข่งู เมื่อมีการตั้งศาลให้เรื่องทุกอย่างจึงคลี่คลาย
5) ศาลเจ้าพ่อหนู ตั้งอยู่ริมคลองย่านบางลำพู คนแถวนั้นไม่มีผู้รู้ประวัติความเป็นมาของศาลแห่งนี้ แต่ถ้าดูจากของแก้บนที่เป็นเสื้อผ้าของเด็กและของเล่นเด็ก แล้วก็จะรู้ว่าแรงศรัทธาของคนทั่วไปที่มีต่อศาลนี้ไม่เป็นรองใคร
รูปแม่นาคพระโขนง
.......มาชมภาพย่านาคกัน และช่วยกันบอกย่าฯ ให้ช่วยวัดบ่อเงินบ่อทองด้วยนะ ให้ลูกหลานมีโชค มีลาภ ถูกแจ็คพอต กัน ให้รวยเสียให้เข็ด ทีนี้บ่อเงินบ่อทองก็จะปรากฏเป็นจริงซะที
เรื่องราวของแม่นาค พระโขนงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว เพราะมีหลักฐานว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีคนรู้จักแม่นาคพระโขนงมากกว่าบุคคลสำคัญของบ้านเมืองเสียด้วยซ้ำ
ที่กล่าวดังนี้ ก็เนื่องจาก...สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าให้หม่อมเจ้า พูนพิศมัย ดิสกุลฟังว่าในสมัยที่พระองค์ท่านยังเป็นนายทหาร ประจำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนั้น มีเจ้าพี่เจ้าน้องมาประทับคุยด้วยอยู่ใกล้วังกับประตูบ่อยๆ ทรงเห็นมีคนเข้าออกประตูวังเนืองแน่นอยู่เสมอ ก็ทรงคิดกันว่า น่าจะทดลอง ความรู้คนเหล่านั้นดูจึงทรงจดชื่อบุคคล ๔ คนคือ...
๑. ท่านขรัวโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี วัดระฆัง)
๒. พระพุทธยอดฟ้า (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ ๑)
๓. จำไม่ได้ว่าใคร
๔. อีนาคพระโขนง
แล้วให้คนไปคอยถามผู้ที่เข้าออกประตูวังทุกคนว่า ตามรายชื่อทั้ง ๔ คนนั้น รู้จักใครบ้าง
ความมีชื่อเสียงของแม่นาคได้ทำให้วัดมหาบุศย์ ริมคลองประเวศบุรีรัมย์ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กทม. พลอยเป็นที่รู้จักของคนทั้งหลายด้วย ในฐานะเป็นวัดที่ฝังศพแม่นาค
วัดมหาบุศย์นี้ พระศรีสมโภชน์ (พระศรีสมโพธิ) เจ้าคณะวัดสุวรรณฯ เป็นผู้สร้าง ตั้งแต่สมัยรัชกาล ที่ ๒ ในขณะที่ท่านยังเป็นพระมหาบุศย์
เรื่องราวของแม่นาคมีทั้งที่เป็นนิยายและภาพยนตร์ บุคคลแรกที่ทำให้ "แม่นาคพระโขนง" โด่งดังขึ้นมา ก็คือ...สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ พระองค์ท่านทรงนำเรื่อง 'อีนาคพระโขนง' ออกแสดงเป็นละครเวทีที่โรงละครปรีดาลัยจนเกรียวกราวได้รับการต้อนรับจากดู เป็นอย่างมาก จนต้องแสดงซ้ำอยู่ถึง ๒๔ คืน
ในนิยาย กล่าวถึงแม่นาคว่า.....
ที่พระโขนง มีเศรษฐีสองสามีภรรยาชื่อ ตามั่นกับยายมี (หมี) ทั้งสองมีลูกสาวที่สวยที่สุดในย่านพระโขนง จึงมีหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน มากก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นแต่เพราะหนุ่มมากชอบประพฤติกรรมตัวเป็นนักเลงโต ตามั่นจึงพยายามกีดกันและหมั้นทองนาคให้กับเสี่ยย้ง ทองนาคจึงตัดสินใจหนีตามหนุ่มมากในวันที่เสี่ยย้งยกขบวนขันหมากมา หลังจากได้ทองนาคมาเป็นภรรยา มากก็กลับตัวเป็นคนดี ขยันขันแข็งทำมาหากิน ทั้งสองจึงอยู่กันอย่างมีความสุข ต่อมาทองนาคตั้งท้อง ก็พอดีมากถูกเกณฑ์ทหาร มากต้องไปเป็นทหาร จึงฝากลุงกับป้าชื่อ ตาหอยกับยายหมาให้ช่วยดูแลทองนาค (เพราะบิดามารดาของมากเสียไปแล้ว จึงต้องมาฝากลุงกับป้าให้ช่วยดูแลภรรยา) ตาหอยยายหมาเป็นห่วงหลานสะใภ้ จึงรับทองนาคไปอยู่ด้วย ทองนาคเป็นคนขยันขันแข็งถึงกำลังท้องไส้ ก็ยังช่วยหาบขนมขายทุกวัน จนกระทั่ง..กลางดึกคืนหนึ่งทองนาคเกิดเจ็บ ท้องจะคลอดลูก ตาหอยจึงรีบไปตามหมอตำแย(หญิงที่ช่วยทำคลอดสมัยก่อน) ชื่อยายจั่นมาทำคลอดให้ แต่ยายจั่นไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเด็กในท้องขวางตัว และทองนาคไม่มีลมเบ่ง ในที่สุด... ทองนาคก็ขาดใจตายทั้งที่ลูกยัง อยู่ในท้อง การตายลักษณะนี้เรียกว่า.....ตายทั้งกลม! ซึ่งเชื่อกันว่า ผีพวกนี้แรงทั้งแม่ทั้งลูก
ในวันฝังทองนาค นายทุย (เพื่อนของมากที่ถูกเกณฑ์ทหารด้วยกัน) ได้กลับมาบ้านที่พระโขนง และมาทันช่วยหามศพทองนาคไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ หลังจากนั้น... พอตกดึก ชาวบ้านใกล้วัดมหาบุศย์ ก็จะได้ยินเสียงทองนาคเห่กล่อม ลูกอยู่ที่โคนต้นตะเคียนใกล้คลอง ด้วยสำเนียงอันโหยหวน มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงผู้หญิงหยาดเย็นปลอบโยน ประสานด้วยเสียงหมาหอน... บรื๋อออ์! ในตอนแรก... ทองนาคก็ไม้ได้ดุร้ายอะไรนัก จนกระทั่งลูกชายของนางไปเล่นกับเด็กวัด แล้วถูกเด็กวัดรังแกนางจึงหลอกพวกเด็กวัด ด้วยการยื่นมือยาวๆ จะจับเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ทำเอาพวกเด็กวัดจับไข้กันเป็นแถว แต่รายที่ทองนาคเล่นงานอย่างจริงจังก็คือ เสี่ยย้ง เพราะเสี่ยย้งเคยปลุกปล้ำนางมาครั้งหนึ่ง นางทองนาคจึงบีบคอเสี่ยย้งจนตาย เมื่อมากกลับมาที่พระโขนง ก็พบทองนาครอรับอยู่ที่บ้าน มากจึงไม่ยอมเชื่อ เมื่อใครต่อใครบอกว่าทองนาคตายแล้ว จนตาหอยผู้เป็นลุงต้องแนะนำว่า จะเชื่อหรือไม่ ก็ให้ทดลองดู เวลานางทองนาคตำน้ำพริก ให้แอบบีบมะนาวลงไป ถ้าผีเป็นผู้ทำก็จะมีหนอน มากแอบทดลองดู ก็ปรากฏว่าในน้ำพริกมีหนอนจริงๆ แต่เขายังไม่ยอมเชื่อ กระทั่งวันต่อมา ขณะที่ทองนาคตำน้ำพริก บังเอิญ ทำสากหล่นลงไปใต้ถุนบ้าน (บ้านที่ทองนาคกับมาก อยู่เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง) นางก็เอื้อมมือยาวเฟื้อยลงไปเก็บสาก มากเห็นเข้า ถึงได้ยอมเชื่อว่าเมียของตนกลายเป็นผีไปซะแล้ว และหนีไปหานายทุยที่บ้าน ทองนาครู้ว่ามากหนี ก็ตามไปที่บ้านของทุย ทุยกับมากจึงต้องพากันหนีอีก นางก็ติดตามไม่ลดละจนทั้งสองหนุ่มวิ่งหนีฝ่าเข้าไปในดงหนาด (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบใหญ่เป็นขน มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ ถือกันว่าผีกลัว) นางจึงไม่กล้าติดตามเข้าไป แต่ยังรออยู่นอกดงหนาด แล้วเรียกเสียงเย็นๆ ว่า พี่มากขาาา......! จนรุ่งเช้า... นางจึงจำใจจากไปเพราะกลัวแสงแดด ส่วนสองหนุ่มที่หลบภัยอยู่ในดงหนาดนั้น สมภารคงวัดมหาบุศย์ออกบิณฑบาตผ่านมาพบเข้า ก็ช่วยพากลับไปที่วัด และให้พระเณรช่วยกันวงด้านสายสิญจน์ตั้งบาตรน้ำมนต์ให้พระมานั่งล้อม มากกับทุยแล้วสวดพระปริตร ตกกลางคืนทองนาคก็มาจริงๆ แต่ไม่สามารถฝ่าวงสานสิญจน์เข้าไปหามากได้ ทำให้นางโกรธมาก และเที่ยวปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนที่พายเรือผ่านหน้าวัด จนไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้น และชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดก็ต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พระสงฆ์องค์เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย (คงเป็นเพราะชาวบ้านย้ายหนีไปหมด เลยไม่มีใครใส่บาตร พระสงฆ์เลยลำบาก)ต้องย้ายไปอยู่วัดอื่น วัดมหาบุศย์แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เหลืออยู่แต่สมภารคงรูปเดียว
ข่าวความดุร้ายของทอง นาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อ แหยม หมอแหยมพาเจ้าเปลี่ยนลูกศิษย์ที่วัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตาย ส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ เรื่องแม่นาคในนิยายก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่มีคำเล่าลือบางกระแสว่า ผู้ที่ปราบผีแม่นาค ไม่ใช่เณรจิ๋ว ทว่าเป็น...สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)วัดระฆัง เล่ากันว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผีแม่นาค ซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน แถววัดมหาบุศย์ เป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้คอพับคอย่น (เพราะถูกบีบคอ) ไปหลายราย สมเด็จฯ โตจึงมาค้างที่วัดมหาบุศย์ แต่ท่านไม่ได้ทำพิธีอะไรมากมายอย่างหมอผีทั้งหลาย เพียงพอตกค่ำ ท่านก็ไปนั่งที่บริเวณหลุมศพ แล้วเรียนนางนาคขึ้นมาสนทนากัน แต่ท่านจะพูดจากตกลงกับนางนาค ว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ ลือกันว่า ท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากจากศพของนางนาค ขัดกระดูกแผ่นนั้นจนเกลี้ยงเป็นมันแล้วนำกลับไปยังวัดระฆัง ลงยันต์กำกับและเจาะทำเป็นหัวเข็มขัด เวลาท่านจะไปไหนก็เอาคาดเอวติดไปด้วย นับตั้งแต่นั้น ผีแม่นาคที่เคยอาละวาดที่วัดมหาบุศย์ พระโขนงก็สงบไป เมื่อไปอยู่ที่กุฏิสมเด็จโต เวลานั้นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ยังเป็นสามเณรอยู่ในกุฏินั้นด้วยได้ถูกแม่นาครบกวน สามเณรก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สมเด้จฯ ก็ร้องปรามว่านางนาคเอ๊ยอย่ารบกวนคุณเณรซี แม่นาคก็เงียบไป แล้วนานๆ ก็ออกมาแหย่เล่นเสียครั้งหนึ่ง (แม่นาคคงจะเหงาน่ะ!) พอถูกปรามก็หยุดไป เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ครั้นสมเด็จฯ ชรามากขึ้นก็มอบกระดูกหน้าผากนางนาคประทานหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ และให้สามเณร ม.ร.ว.เจริญ ไปอยู่ด้วย นางนาคยังคงเล่นสนุกเย้าแหย่สามเณรตามเคย หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ทรงกริ้วดุนางว่า... เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามากวนเณร คุณเณรจะได้ดูหนังสือหนังหานางนาคจึงเงียบไป... ต่อมา... หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งได้เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์(ทัต) ได้ประทานกระดูกหน้าผากนางนาคให้แก่หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) วัดบางปะกอก ภายหลังหลวงพ่อพริ้ง ก็มอบกระดูกนางนาคแด่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กระดูกนางนาคจึงไปอยู่ในซองผีที่วังนางเลิ้ง (ในเวลานี้เป็นโรงเรียนพาณิชยการพระนคร) อยู่ที่วังนางเลิ้งไม่นานเท่าไรนางนาคก็มากราบทูลลา (คงจะหมดเวรหมดกรมไปเกิดใหม่ แต่จะเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะนางนาคอาจจะไปเกิดเป็นอมนุษย์ก็ได้ และคำว่าอมนุษย์ก็ครอบคลุมกว้างมากตั้งแต่ ผี ปีศาจ ยักษ์ มาร นางไม้ เทวดา เป็นต้น หากให้สันนิษฐาน นางนาคน่าจะเกิดในระดับที่สูงกว่าผีขึ้นไป) และกระดูกนางนาคชิ้นนั้นก็อันตรธานหายไป ไม่พบเรื่องราวอีกเลย
เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี
ตะลึง!พบศพแม่นาค ในเส้นทางย้อนอดีตหนามเตย ที่ “พิพิธภัณฑ์หนังไทย”
ยังไงๆก็ขอให้คนในวงการภาพยนตร์ไทย รักษาคุณภาพในการทำหนังไว้ด้วย อย่าสักแต่ทำหนังประเภทตลกหยาบโลน ตุ๊ดแต๋วบ้าบอ และหนังผีปัญญาอ่อน ออกมาฉายมากๆ เลย เพราะมันนอกจากฉุดวงการหนังไทยให้สาละวันเตี้ยลงแล้ว ยังบั่นทอนกำลังใจของคนที่สร้างหนังไทยดีๆ ด้วย | ||||
เมื่อไปถึงพิพิธภัณฑ์ ฉันได้รับเกียรติจาก คุณวินัย สมบุญนา หัว หน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ เป็นวิทยากรนำชม แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆคุณวินัยได้ตั้งคำถามให้ทายว่า รูปปั้นหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คล้ายบุคคลท่านใด หลังจากที่ทายกันไปมา คุณวินัยก็ได้เล่าเรื่องย้อนกลับไปในยุคสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2440 ร.5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกโดย “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทองแถมถวัลยวงศ์ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ” ได้เสด็จตามไปด้วย และได้รับมอบหมายให้ซื้อข้าวของที่แปลกใหม่กลับมาเมืองไทย | ||||
ทางพิพิธภัณฑ์จึงได้นำรูปปั้นของพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ พระบิดาแห่งภาพยนตร์สยาม ในลักษณะขณะทรงจับกล้องถ่ายภาพยนตร์ มาประดิษฐานไว้ที่หน้าพิพิธภัณฑ์ เพื่อเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน จากนั้นคุณวินัยก็เล่าถึงตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบทรง ครึ่งวงกลม สีเหลืองสดใสดูเด่นเป็นเอกลักษณ์แห่งนี้ว่าสร้างขึ้นแล้วเสร็จเมื่อปีพ.ศ. 2544 | ||||
คุณวินัยเล่าว่าตัวโรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุงของจริงใหญ่กว่าอาคาร นี้ 3-4 เท่าเลยก็ว่าได้ และรอบๆ โรงถ่ายก็สร้างเป็นสระว่ายน้ำ สนามเทนนิส บ้านเรือน เพื่อเป็นฉากการถ่ายทำต่างๆ เซ็ตทุกอย่างเรียนแบบฮอลลีวูด โรงถ่ายภาพยนตร์เสียงศรีกรุงแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น “ฮอลลีวูดแห่งสยาม” เลยทีเดียว | ||||
เมื่อคุณวินัยเล่าปูพื้นให้ฉันฟังแล้ว ก็ได้เวลาเข้าไปยังภายในพิพิธภัณฑ์ โดยก่อนที่จะเข้าไปฉันต้องผ่านสเลค หรือก็คืออุปกรณ์ที่ไว้ใช้บอกฉากบอกซีน ตอนที่สั่งคัทนั่นแหละ ซึ่งของที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คุณวินัยแอบบอกว่าสเลคยักษ์นี้รอการตอบรับเพื่อบันทึกลงในกินเนสบุ๊คอยู่ ด้วย | ||||
การชมในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเป็นรูปแบบมีวิทยากรนำชมและบรรยายเรื่อง ราวต่างๆ บางทีมีเด็กมามาเล่าหนังที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดู หรือบางครั้งมีผู้สูงอายุมาก็มาเล่าเรื่องราวสมัยก่อนๆที่เจ้าหน้าที่อาจไม่ เคยรู้ให้ได้ฟัง เป็นการพูดคุยเล่าเรื่องราวความประทับใจของแต่ละคนแลกเปลี่ยนกัน ตลอดการชมด้วยเวลาประมาณ 1.30 -2 ชั่วโมง | ||||
มุมความเชื่อของคนไทย ก็สร้างความตื่นเต้นครึกครื้นให้ผู้เข้าชมได้เป็นอย่างมาก อาทิ ปั้นเหน่งและศพแม่นาคที่ใช้ในการแสดงภาพยนตร์ เสื้อ ผ้าเครื่องแต่งกาย โต๊ะตู้ หุ่นกระบอกประกอบภาพยนตร์สยองขวัญ ก็จัดแสดงให้ได้ขนลุกกันอยู่ในส่วนนี้ด้วย จากนั้นขึ้นบันไดผ่านมุมแผ่นเสียงและรางวัลทางภาพยนตร์ไทยไปยังส่วนจัดแสดง ชั้นที่ 2 | ||||
จากนั้นเป็นส่วนอธิบายด้านศาสตร์ของภาพยนตร์ หรือหลักการวิทยาศาสตร์ โดยใช้หลักการภาพติดตา และยังมีการจัดแสดงเครื่องฉายหนังในยุคก่อน กล้องถ่ายภาพยนตร์รุ่นต่างๆ และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย ซึ่งในชั้นนี้เราจะได้รู้จักกับน้องหมาคาบกระเป๋าชื่อเจ้าจุ่น ซึ่งเป็นหมาไทยชาวธนบุรีตัวแรกที่ถูกฝึกให้เล่นหนังสั้นเรื่องจ๊ะเอ๋ เมื่อปี พ.ศ.2481 นู่นแน่ะ | ||||
ส่วนการแนะนำเล่าเรื่องการผลิตหนัง ว่ากว่าจะผลิตหนังขึ้นมา 1 เรื่องนั้น มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง อาทิคร่าวๆ ตั้งแต่เขียนบท หานักแสดงที่เหมาะสม หาอุปกรณ์ประกอบฉาก หาเสื้อผ้านักแสดง ถ่ายทำ ล้างฟิล์ม ตัดต่อ และสู่กระบวนการฉาย ซึ่งในแต่ละขั้นตอนนั้นมีขั้นตอนยิบย่อยอีกมากมาย นอกจากนี้ยังจำลองที่ขายตั๋ว เก้าอี้แบบพับได้ในโรงภาพยนตร์สมัยก่อนไว้ให้ชมกันด้วยเป็นการปิดฉากกระบวน การขั้นตอนการผลิตภาพยนตร์ออกสู่สาธารณชน | ||||
| ||||
"พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย" ตั้งอยู่ที่ถ.พุทธมณฑลสาย 5 ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันเสาร์-อาทิตย์ วันละ 3 รอบ เวลา 10.00, 13.00 และ 15.00น. หากมาเป็นหมู่คณะกรุณาติดต่อล่วงหน้า นอกจากนี้ในบริเวณติดกันยังมีโรงภาพยนตร์ศรีศาลายา โรง ภาพยนตร์ชุมชนแห่งแรกของประเทศ ขนาด 120 ที่นั่ง ที่จัดฉายภาพยนตร์หลากหลายแนวเพื่อการเรียนรู้ โดยเปิดให้ชมทุกวัน ด้านหน้าของโรงภาพยนตร์ยังโดดเด่นด้วยรอยประทับรอยมือและรอยเท้าของเหล่าศิลปินชื่อดังของเมืองไทยกว่า 100 คนด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 0-2482-2013-5 | ||||
|
เผื่อน้องๆไม่ร้..ประวัติแม่นาคพระโขนง
แม่นาคพระโขนง เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีตายท้องกลมที่เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องหนึ่งของ ไทยเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัย รัชกาลที4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีตัวตนอยู่จริง ปัจจุบันมี ศาลแม่นาค ตั้งอยู่ที่ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร
เนื้อเรื่อง..
ขณะ นั้น มีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่กินด้วยกันที่ย่านพระโขนง ฝ่ายสามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนนางนาคตั้งครรภ์อ่อน ๆ นายมากก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องไปเป็นทหาร ซึ่งเป็นหมายเรียกชายฉกรรจ์จากทางหลวง นายมากจึงต้องไปเป็นทหารประจำการณ์ในบางกอก นางนาค รอนายมากกลับบ้านจนเวลาผ่านไปหลายเดือน นางนาคท้องก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด แต่ขณะคลอด ลูกในท้องของนางนาคไม่ยอมกลับหัว เมื่อนางนาคไม่สามารถคลอดลูกได้ตามปกติ เด็กไม่ออก นางนาคจึงตายทั้งกลมพร้อมลูกในท้อง หลังจากนางนาคได้ตายไป ศพจึงถูกชาวบ้านนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ จนวันหนึ่ง มีเด็ก ๆ ซุกซนไปเล่นแถวหลุมฝังศพทำเป็นผีหลอกหลอนกัน จนไปล่วงเกินหลุมศพของนางนาคเข้า กลายเป็นการปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง วิญญาณของนางนาคจึงออกมาสำแดงเดชให้เด็กๆ กลัว วิญญาณของนางนาคยังคงอาลัยอาวรณ์ถึงนายมากผู้เป็นผัว จึงกลายเป็นวิญญาณที่ไม่สงบ คอยเฝ้าวนเวียนรอผัวกลับบ้าน วิญญาณของนางนาคจึงสิงสู่อยู่ที่บ้านที่นางตายลง รอนายมากผู้เป็นผัวกลับมา
วัน หนึ่ง นายมากกลับมาที่บ้าน ได้พบนางนาค และลูกก็ดีใจ นางนาค ด้วยความที่เกรงว่าผัวจะรู้ความจริง จึงคอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว ขณะที่นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนาคทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาค โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่ว แล้วเอาดินอุดไว้ ตอนกลางคืนจึงทำทีเป็นไปปลดทุกข์เบา แล้วแอบเอาดินที่อุคตุ่มไว้ ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา แล้วแอบหนีไป นางนาคเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอกเข้าให้แล้ว จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนาคไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด
นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนาคไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนาคออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาค ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนาคก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่ จนมีตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่อง เพิ่งโยกย้ายมาอยู่ใหม่ เกิดเก็บหม้อที่ถ่วงนางนาคได้ขณะทอดแหจับปลา นางนาคจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้าย ก็ถูกสมเด็จพุฒาจารย์(โต)สยบลงไปได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนาค ถูกเคาะออกมาทำปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัดโบราณ) เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนาคสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่นๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาค นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้
เนื้อเรื่อง..
ขณะ นั้น มีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่กินด้วยกันที่ย่านพระโขนง ฝ่ายสามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนนางนาคตั้งครรภ์อ่อน ๆ นายมากก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องไปเป็นทหาร ซึ่งเป็นหมายเรียกชายฉกรรจ์จากทางหลวง นายมากจึงต้องไปเป็นทหารประจำการณ์ในบางกอก นางนาค รอนายมากกลับบ้านจนเวลาผ่านไปหลายเดือน นางนาคท้องก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด แต่ขณะคลอด ลูกในท้องของนางนาคไม่ยอมกลับหัว เมื่อนางนาคไม่สามารถคลอดลูกได้ตามปกติ เด็กไม่ออก นางนาคจึงตายทั้งกลมพร้อมลูกในท้อง หลังจากนางนาคได้ตายไป ศพจึงถูกชาวบ้านนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ จนวันหนึ่ง มีเด็ก ๆ ซุกซนไปเล่นแถวหลุมฝังศพทำเป็นผีหลอกหลอนกัน จนไปล่วงเกินหลุมศพของนางนาคเข้า กลายเป็นการปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง วิญญาณของนางนาคจึงออกมาสำแดงเดชให้เด็กๆ กลัว วิญญาณของนางนาคยังคงอาลัยอาวรณ์ถึงนายมากผู้เป็นผัว จึงกลายเป็นวิญญาณที่ไม่สงบ คอยเฝ้าวนเวียนรอผัวกลับบ้าน วิญญาณของนางนาคจึงสิงสู่อยู่ที่บ้านที่นางตายลง รอนายมากผู้เป็นผัวกลับมา
วัน หนึ่ง นายมากกลับมาที่บ้าน ได้พบนางนาค และลูกก็ดีใจ นางนาค ด้วยความที่เกรงว่าผัวจะรู้ความจริง จึงคอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาเจอนายมากจะบอกนายมากอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว ขณะที่นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนาคทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นเรือนเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาค โดยการแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่ว แล้วเอาดินอุดไว้ ตอนกลางคืนจึงทำทีเป็นไปปลดทุกข์เบา แล้วแอบเอาดินที่อุคตุ่มไว้ ให้น้ำไหลออกเหมือนคนปลดทุกข์เบา แล้วแอบหนีไป นางนาคเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าตัวเองโดนหลอกเข้าให้แล้ว จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนาคไม่สามารถทำอะไรได้เพราะผีกลัวใบหนาด
นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนาคไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วผัวตัวเองอีกประการหนึ่ง ทำให้นางนาคออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบาง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาค ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง ในที่สุด นางนาคก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับใส่หม้อถ่วงน้ำ จึงสงบไปได้พักใหญ่ จนมีตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่อง เพิ่งโยกย้ายมาอยู่ใหม่ เกิดเก็บหม้อที่ถ่วงนางนาคได้ขณะทอดแหจับปลา นางนาคจึงถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้าย ก็ถูกสมเด็จพุฒาจารย์(โต)สยบลงไปได้ กะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนาค ถูกเคาะออกมาทำปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัดโบราณ) เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนาคสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่นๆ อีกหลายมือ ตำนานรักของนางนาค นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ฟังอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้
เรื่องเล่า ประวัติแม่นาคพระโขนง
เรื่องเล่า ประวัติแม่นาคพระโขนง
เรื่องราวของแม่นาคพระโขนงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมานานแล้ว เพราะมีหลักฐานว่าใน
สมัยรัชกาลที่ ๕ มีคนรู้จักแม่นาคพระโขนงมากกว่าบุคคลสำคัญของบ้านเมืองเสียด้วยซ้ำ
ที่กล่าวดังนี้ ก็เนื่องจาก...สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าให้หม่อมเจ้า
พูนพิศมัย ดิสกุล ฟังว่าในสมัยที่พระองค์ท่านยังเป็นนายทหารประจำ
อยู่ในพระบรมมหาราชวังนั้นมีเจ้าพี่เจ้าน้องมาประทับคุยด้วยอยู่ใกล้วัง
กับประตูบ่อยๆ ทรงเห็นมีคนเข้าออกประตูวังเนืองแน่นอยู่เสมอ ก็ทรง
คิดกันว่าน่าจะทดลอง ความรู้คนเหล่านั้นดูจึงทรงจดชื่อบุคคล ๔
คนคือ...
๑. ท่านขรัวโต (สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี วัดระฆัง)
๒. พระพุทธยอดฟ้า (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๑)
๓. จำไม่ได้ว่าใคร
๔. อีนาคพระโขนง
แล้วให้คน ไปคอยถามผู้ที่เข้าออกประตูวังทุกคนว่า ตามรายชื่อ
ทั้ง ๔ คนนั้น รู้จักใครบ้าง
ความมีชื่อเสียงของแม่นาคได้ทำให้วัดมหาบุศย์ ริมคลองประเวศ
บุรีรัมย์ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กทม. พลอยเป็นที่รู้จักของคนทั้ง
หลายด้วย ในฐานะเป็นวัดที่ฝังศพแม่นาค
วัดมหาบุศย์นี้ พระศรีสมโภชน์ (พระศรีสมโพธิ) เจ้าคณะวัดสุวรรณฯ เป็นผู้สร้าง ตั้งแต่สมัยรัชกาล
ที่ ๒ ในขณะที่ท่านยังเป็นพระมหาบุศย์
เรื่องราวของแม่นาคมีทั้งที่เป็นนิยายและภาพยนตร์ บุคคลแรกที่ทำให้ "แม่นาคพระโขนง" โด่งดังขึ้นมา ก็คือ...สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงษ์ พระองค์ท่านทรงนำเรื่อง 'อีนาคพระโขนง' ออกแสดงเป็นละครเวทีที่โรงละครปรีดาลัยจนเกรียวกราวได้รับการต้อนรับจากดู เป็นอย่างมาก จนต้องแสดงซ้ำอยู่ถึง ๒๔ คืน
ในนิยาย กล่าวถึงแม่นาคว่า.....ที่พระโขนง มีเศรษฐีสองสามีภรรยาชื่อตามั่นกับยายมี (หมี) ทั้งสองมีลูกสาวที่สวยที่สุดในย่านพระโขนง จึงมีหนุ่มๆมาติดพันหลายคน มากก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นแต่เพราะหนุ่มมากชอบประพฤติกรรมตัวเป็นนักเลงโต ตามั่นจึงพยายามกีดกันและตัดการหมั้นทองนาคให้กับเสี่ยย้งทองนาคจึงตัดสินใจ หนีตามหนุ่มมาก ในวันที่เสี่ยย้งยกขบวนขันหมากมา หลังจากได้ทองนาคมาเป็นภรรยา มากก็กลับตัวเป็นคนดี ขยันขันแข็งทำมาหากิน ทั้งสองจึงอยู่กันอย่างมีความสุข ต่อมาทองนาคตั้งท้อง ก็พอดีมากถูกเกณฑ์ทหาร มากต้องไปเป็นทหาร จึงฝากลุงกับป้าชื่อตาหอยกับยายหมาให้ช่วยดูแลทองนาค(เพราะบิดามารดาของมาก เสียไปแล้ว จึงต้องมาฝากลุงกับป้าให้ช่วยดูแลภรรยา) ตาหอยยายหมาเป็นห่วงหลานสะใภ้ จึงรับทองนาคไปอยู่ด้วย ทองนาคเป็นคนขยันขันแข็งถึงกำลังท้องไส้ ก็ยังช่วยหาบขนมขายทุกวัน จนกระทั่ง... กลางดึกคืนหนึ่งทองนาคเกิดเจ็บท้องจะคลอดลูก ตาหอยจึงรีบไปตามหมอตำแย(หญิงที่ช่วยทำคลอดสมัยก่อน) ชื่อยายจั่น มาทำคลอดให้ แต่ยายจั่นไม่สามรถทำอะไรได้เพราะเด็กในท้องขวางตัว และทองนาคไม่มีลมเบ่ง ในที่สุด... ทองนาคก็ขาดใจตายทั้งที่ลูกยังอยู่ในท้อง การตายลักษณะนี้เรียกว่า.....ตายทั้งกลม! ซึ่งเชื่อกันว่า ผีพวกนี้แรงทั้งแม่ทั้งลูก
ในวันฝังทองนาค นายทุย(เพื่อนของมากที่ถูกเกณฑ์ทหารด้วยกัน) ได้กลับมาบ้านที่พระโขนง และมาทันช่วยหามศพทองนาคไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุศย์ หลังจากนั้น... พอตกดึก ชาวบ้านใกล้วัดมหาบุศย์ก็จะได้ยินเสียงทองนาคเห่กล่อมลูกอยู่ที่โคนต้น ตะเคียนใกล้คลอง ด้วยสำเนียงอันโหยหวน มีเสียงเด็กร้องไห้ เสียงผู้หญิงหยาดเย็นปลอบโยน ประสานด้วยเสียงหมาหอน... บรื๋อออ์!
ในตอนแรก... ทองนาคก็ไม้ได้ดุร้ายอะไรนัก จนกระทั่งลูกชายของนางไปเล่นกับเด็กวัดแล้วถูกเด็กวัดรังแกนางจึงหลอกพวก เด็กวัด ด้วยการยื่นมือยาวๆ จะจับเท่านั้น แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง ทำเอาพวกเด็กวัดจับไข้กันเป็นแถว แต่รายที่ทองนาคเล่นงานอย่างจริงจังก็คือ เสี่ยย้ง เพราะเสี่ยย้งเคยปลุกปล้ำนางมาครั้งหนึ่ง นางทองนาคจึงบีบคอเสี่ยย้งจนตาย เมื่อมากกลับมาที่พระโขนง ก็พบทองนาครอรับอยู่ที่บ้าน มากจึงไม่ยอมเชื่อ เมื่อใครต่อใครบอกว่าทองนาคตายแล้ว จนตาหอยผู้เป็นลุงต้องแนะนำว่า จะเชื่อหรือไม่ ก็ให้ทดลองดู เวลานางทองนาคตำน้ำพริก ให้แอบบีบมะนาวลงไป ถ้าผีเป็นผู้ทำก็จะมีหนอม มากแอบทดลองดู ก็ปรากฏว่าในน้ำพริกมีหนอนจริงๆ แต่เขายังไม่ยอมเชื่อ กระทั่งวันต่อมา ขณะที่ทองนาคตำน้ำพริก บังเอิญทำสากหล่นลงไปใต้ถุนบ้าน (บ้านที่ทองนาคกับมากอยู่เป็นเรือนไทยใต้ถุนสูง) นางก็เอื้อมมือยาวเฟื้อยลงไปเก็บสาก มากเห็นเข้า ถึงได้ยอมเชื่อว่าเมียของตนกลายเป็นผีไปซะแล้ว และหนีไปหานายทุยที่บ้าน
ทองนาครู้ว่ามากหนี ก็ตามไปที่บ้านของทุย ทุยกับมากจึงต้องพากันหนีอีก นางก็ติดตามไม่ลดละ
จนทั้งสองหนุ่มวิ่งหนีฝ่าเข้าไปในดงหนาด(ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ใบใหญ่เป็นขน มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ ถือกันว่าผี
กลัว) นางจึงไม่กล้าติดตามเข้าไป แต่ยังรออยู่นอกดงหนาด แล้วเรียกเสียงเย็นๆ ว่า พี่มากขาาา......!
จนรุ่งเช้า... นางจึงจำใจจากไปเพราะกลัวแสงแดด ส่วนสองหนุ่มที่หลบภัยอยู่ในดงหนาดนั้น สมภารคงวัดมหาบุศย์ออกบิณฑบาตผ่านมาพบเข้า ก็ช่วยพากลับไปที่วัด และให้พระเณรช่วยกันวงด้านสายสิญจน์ตั้งบาตรน้ำมนต์ให้พระมานั่งล้อมมากกับ ทุยแล้วสวดพระปริตร ตกกลางคืนทองนาคก็มาจริงๆแต่ไม่สามารถฝ่าวงสานสิญจน์เข้าไปหามากได้ ทำให้นางโกรธมาก และเที่ยวปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนที่พายเรือผ่านหน้าวัด จนไม่มีใครกล้าผ่านไปแถวนั้น และชาวบ้านที่อยู่ใกล้วัดก็ต้องอพยพหนีไปอยู่ที่อื่น พระสงฆ์องค์เจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย (คงเป็นเพราะชาวบ้านย้ายหนีไปหมด เลยไม่มีใครใส่บาตร พระสงฆ์เลยลำบาก)
ต้องย้ายไปอยู่วัดอื่น วัดมหาบุศย์แทบจะกลายเป็นวัดร้าง เหลืออยู่แต่สมภารคงรูปเดียว
ข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยม
พาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ
ข่าวความดุร้ายของทองนาคเล่าลือกันไปทั่วกัน จนรู้ถึงหมอผีชื่อดังคนหนึ่งชื่อแหยม หมอแหยม
พาเจ้าเปลี่ยนลูกศิศย์ทีวัดมหาบุศย์เพื่อจะปราบผีแม่ทองนาค แต่กลับถูกทองนาคหักคอตายส่วนเจ้าเปลี่ยน
กลายเป็นบ้าไป แต่ในที่สุด.....ผีแม่ทองนาคก็ถุกปราบลงจนได้ โดยเณรจิ๋วซึ่งมาแต่เมืองเหนือ เณรจิ๋วได้ใช้
วิชาอาคมเรียกทองนาคลงหม้อ เอาไปถ่วงน้ำได้สำเร็จ
เรื่องแม่นาคในนิยายก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่มีคำเล่าลือบางกระแสว่า
ผู้ที่ปราบผีแม่นาค ไม่ใช่เณรจิ๋ว ทว่าเป็น...สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)
วัดระฆัง เล่ากันว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผี
แม่นาคซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้านแถววัดมหาบุศย์
เป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้คอพับคอย่น (เพราะถูกบีบ
คอ) ไปหลายราย
สมเด็จฯ โตจึง มาค้างที่วัดมหาบุศย์ แต่ท่านไม่ได้ทำพิธีอะไรมาก
มายอย่างหมอผีทั้งหลาย เพียงพอ ตกค่ำ ท่านก็ไปนั่งที่บริเวณหลุมศพ
แล้วเรียนนางนาคขึ้นมาสนทนากัน แต่ท่านจะพูดจากตกลงกับนางนาค
ว่าอย่างไรไม่มีใครรู้ ลือกันว่า ท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากจากศพ
ของนางนาคขัดกระดูกแผ่นนั้นจนเกลี้ยงเป็นมันแล้วนำกลับไปยังวัด
ระฆัง ลงยันต์กำกับและเจาะทำเป็นหัวเข็มขัด เวลาท่านจะไปไหนก็เอา
คาดเอวติดไปด้วย นับตั้งแต่นั้น ผีแม่นาคที่เคยอาละวาดที่วัดมหาบุศย์
พระโขนงก็สงบไป เมือไปอยู่ที่กุฏิสมเด็จโต เวลานั้นสมเด็จพระพุทธ
โฆษาจารย์(ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร) ยังเป็นสามเณร อยู่ในกุฏินั้นด้วย ได้ถูกแม่นาครบกวน สามเณรก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สมเด้จฯ ท่าก็ร้องปรามว่านางนาคเอ๊ยอย่ารบกวนคุณเณรซี แม่นาคก็เงียบไป แล้วนานๆ ก็ออกมาแหย่เล่นเสียครั้งหนึ่ง (แม่นาคคงจะเหงาน่ะ!) พอถูกปรามก็หยุดไป เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ครั้นสมเด็จฯ ท่าชรามากขึ้นก็มอบกระดูกหน้าผากนางนาคประทานหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ และให้สามเณร ม.ร.ว.เจริญ ไปอยู่ด้วย นางนาคยังคงเล่นสนุกเย้าแหย่สามเณรตามเคย หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ทรงกริ้วดุนางว่า... เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามากวนเณร คุณเณรจะได้ดูหนังสือหนังหานางนาคจึงเงียบไป... ต่อมา... หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งได้เป็นหม่อมเจ้า สมเด็จพระพุฒาจารย์(ทัต) ได้ประทานกระดูกหน้าผากนางนาคให้แก่หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) วัดบางปะกอก
ภายหลังหลวงพ่อพริ้ง ก็มอบกระดูกนางนาคแด่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ กระดูกนางนาคจึงไปอยู่ในซองผีที่วังนางเลิ้ง (ในเวลานี้เป็นโรงเรียนพาณิชยการพระนคร) อยู่ที่วังนางเลิ้งไม่นานเท่าไรนางนาคก็มากราบทูลลา (คงจะหมดเวรหมดกรมไปเกิดใหม่ แต่จะเกิดเป็นคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะนางนาคอาจจะไปเกิดเป็นอมนุษย์ก็ได้และคำว่าอมนุษย์ก็ครอบคลุมกว้างมาก ตั้งแต่ ผี ปีศาจ ยักษ์ มาร นางไม้ เทวดา เป็นต้น หากให้สันนิษฐาน นางนาคน่าจเกิดในระดับที่สูงกว่าผีขึ้นไป) และกระดูกนางนาคชิ้นนั้นก็อันตรธานหายไปไม่พบเรื่องราวอีกเลย เรื่องราวแม่นาคที่บางครั้งก็ดูจริงจังเกินกว่าเรื่องนิยายอย่างนี้ทำให้ เกิดความคิดขึ้นสองอย่าง.... บ้างก็ยังคงเชื่อว่า เป็นเรื่องนิยาย แต่มีมากกว่าบ้าง เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง! และฝ่ายที่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงนั้น ได้พยายามรวบรวมหลักฐานมายืนยัน เช่น...
ขุนชาญคดี (ปั่น) กำนันตำบลพระโขงสมัยนั้น ได้เล่าถวาย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ (พระองค์เจ้ายุคลทิฆัมพร พระราชโอรสในรัชกาลที่ ๕) ว่า.....
นางนาคเป็นบุตรสาวของขุนศรีฯ นายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนงฝั่งตะวันตกข้างวัดมหาบุศย์
(ตามหลักฐานนี้ แม่นาคไม่ใช่ลูกสาวของตามั่นยายมีแต่อย่างไร และไม่ใช่เด็กสาวกำพร้าด้วย) และเป็น
สาวสวยที่จะหาสาวใดในย่านพระโขนงมาเทียบเคียงได้ยาก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
เมื่อได้ทรงฟังเรื่องราวแล้ว ถึงกับรับสั่งว่า
"สวยสดงดงามถึงอย่างนั้นทีเดียวรึ มิน่าเล่าเจ้าพวกหนุ่มๆ ถึงได้ตอมกันนัก และปีศาจก็มีฤทธิ์ร้าย
แรงถึงเพียงนั้น"
และหลักฐานที่ ก.ศ.ร.กุหลาบ บรรณาธิการหนังสือ "สยามประเภท " ตอบข้อข้องใจของคนอ่าน ลงในหนังสือเล่มที่ ๓ วันเสาร์ที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๔๔๒ ว่า.....
"จะเปนวันเดือนปีใดจำไม่ได้เปนคำพระศรีสมโภช (บุด) วัดสุวรรณเล่าถวายสมเด็จอุปัชฌาย์ว่า ในรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ อำแดงนาก บุตรขุนศรีนายอำเภอ บ้านอยู่ปากคลองพระโขนง เปนภรรยานายชุ่ม
ตัวโขนทศกรรฐ์ในพระจ้าวบรมวงศ์เธอจ้าวฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี อำแดงนากมีบุตรถึงอนิจกรรม นายชุ่มทศกรรฐ์สามีนำศพอำแดงนากภรรยาไปฝังที่ป่าช้าวัดมหาบุด... ศพอำแดงนากฝังไว้ที่นั่นไม่มีปีศาลหลอกผู้ใด เปนแต่พระศรีสมโภชเจ้าของวัดมหาบุด เล่าถวายพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสว่า นายชุ่มทศกรรฐ์เปนคนมั่งมี.... บุตรนายชุ่มมีชายหญิงหลายคน แต่ล้วนยังไม่มีสามีภรรยาทั้งสิ้น บุตรนายชุ่มหวงทรัพย์สมบัติของบิดา เกรงว่าบิดาจะมีภรรยาใหม่...พวกลุกชายจึงทำอุบายให้คนไปขว้างปาชาวเรือ ตามลำคลองริมป่าช้าที่ฝังศพอำแดงนากมารดา กระทำกิริยาเปนผีดุร้ายหลอกคน จนถึงช่วยนายชุ่มถีบระหัดน้ำเข้านาแลวิดน้ำกูเรือของนายชุ่มที่ล่มก็ได้ บุตรชายแต่งกายเปนหญิงให้คล้ายอำแดงนากมารดาทำกิริยาเปนผีดุร้ายให้คนกลัว ทั่วทั้งลำคลองพระโขนง... บุตรนายชุ่มทศกรรฐ์หลายคนได้เล่าถวายเสด็จอุปชฌาย์ว่า ตนได้ทำมายาเปนปีศาจอำแดงนากมารดาหลอกชาวบ้าน จริงดั่งพระศรสมโภชกราบทูลเสด็จอุปัชฌาย์ทุกประการ" (จากหนังสือ ตามรอยนางนากพระโขนง ของ ส.พลายน้อย)
(ตามความข้างต้นนี้ สามีของแม่นาคแทนที่จะเป็นนายมากกลับเป็นนายชุ่ม และวัดมหาบุดที่กล่าวถึงก็คือวัดมหาบุศย์นั่นเอง) แต่หลักฐานทั้งสองนี้ก็ยังคงขัดแย้งกันเอง จึงต้องล้วแต่ว่า ใครจะเขื่อในเรื่องไหนแต่อน่างไรก็ตาม เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ก็ยังคงเป็นตำนานรักอมตะประจำถิ่นพระโขนงมาตราบเท่าทุกวันนี้ และเพื่อเป็นการระลึกถึงแม่นาค ทางวัดมหาบุศย์จึงได้สร้างศาลแม่นาคพระโขนงขึ้นในบริเวณวัด เพื่อให้ผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ได้แวะมากราบไหว้ย่านาคกัน
*(ชื่อ แม่นาค เขียนได้ ๒ อย่างคือ นาก วึ่งหมายถึงของมีค่า จำพวกทอง เงิน นาก และ
นาค ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมใช้ในรุ่นหลังๆ)
เหตุที่ผีแม่นาคเฮี้ยนหนัก เพราะเอาศพไปฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่ ก่อนหน้าที่ทิดมากจะมา ผีนางนาคไปร้องขอข้าวเณร และยื่นมือไป เณรเอามีดหมอหลวงตาฟันมือขาด หลวงตาเอาเณรไปไว้ในกุฏิ เอาใบหนาดสวม และนอนเฝ้า แต่ผีนางนาคก็มาหักคอเณรจนได้ ผีนางนาคกับลูกเที่ยวหลอกชาวบ้านและคนเดินทาง รวมทั้งพระในวัดจนเป็นที่เลื่องลือ แม้หนุ่มๆ ผีนางนาคก็แปลงกายเป็นสาวสวยมาหลอกให้หลง พอรู้ว่าเป็นผีก็หนีขวัญหนีดีฝ่อ ทิดมากเองจะไปไหนก็ไม่ได้ นางนาคคอยติดตาม ในที่สุดต้องหาหมอผีมาเรียกวิญญานนางนาคและลูกใส่หม้อ นำไปถ่วงน้ำ แล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ผีนางนาคจึงหายไป แต่ตำนานเรื่องแม่นาคพระโขนงก็ยังเล่าสืบกันมา จนถึงกับนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง แม่นาคพระโขนง ฉายให้คนชมติดใจไปตามๆ กัน
ผิดพลาคยังไงกระผมต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นน่ะครับ
ตำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค ชิ้นส่วนกะโหลกหน้าผาก ผีแม่นาค พระโขนง
ำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค ชิ้นส่วนกะโหลกหน้าผาก ผีแม่นาค พระโขนง
แม้ ว่าสังคมไทยจะถูกพัดพาไปกับโลก ของเทศโนโลยีมากมาย แต่ในด้านความเชื่อในสิ่งลี้ลับก็ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย สำหรับเรื่องราวที่คนไทยเกือบทั้งประเทศรู้จักและคุ้นเคยกันดี เห็นจะเป็น "ตำนานรักแม่นาคพระโขนง" เพราะทั้งคำเล่าขานที่ถูกเล่า และละครสร้างต่อๆ กันมาหลายยุคสมัย รวมถึงศาลของแม่นาค ณ วัดมหาบุศย์ ที่ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาสักการะบูชาอยู่ไม่ขาด ต่างก็เป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่า ความเชื่อเรื่องแม่นาคพระโขนง ยังคงปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
ล่าสุด กำลังเป็นประเด็นที่หลายคนหยิบยกมาพูดถึงกันอย่างมาก เกี่ยวกับวัตถุล้ำค่าจากตำนานแม่นาคพระะโขนง ที่เรียกกันว่า "ปั้นเหน่งแม่นาค" หลายคนอาจสงสัยว่า ปั้นเหน่ง คืออะไร เกี่ยวข้องกับแม่นาคพระโขนงอย่างไร แล้วเหตุใดผู้คนถึงให้ความสนใจ
ความจริงแล้ว คำว่า "ปั้นเหน่ง" มีความหมายถึง หัวเข็มขัด แต่ที่เรียกว่า "ปั้นเหน่งแม่นาค" เพราะว่ากันว่าเป็นที่สิ่งสถิตของวิญญาณแม่นาคพระโขนง ทั้งนี้ ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาค ออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาค หลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม
ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ใน เวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?
ครั้งหนึ่ง อดีตพระเอกคนดัง ซึ่งเคยรับบทพ่อมาก เมื่อหลายปีก่อน อย่าง พีท ทองเจือ ได้เคยออกมาประกาศตามหาปั้นเหน่งแม่นาค เพื่อนำมาบูชา หลังเปิดใจกลางรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่า เขามีความเชื่อว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับแม่นาคพระโขนง โดยอ้างต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากตระกูล "เทพหัสดิน ณ อยุธยา" ซึ่งแม่นาคถือเป็นญาติฝ่ายคุณยาย นับญาติกันแล้ว พีทมีศักดิ์เป็นเหลนหรือโหลนของแม่นาค ที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 2 นอกจากนั้น พัทยังอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับบ้านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของแม่นาคเมื่อ ในอดีต
"ครอบ ครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งญาติๆ จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งคุณพ่อ, คุณแม่, น้องสาว, น้า และอา รวมประมาณ 6-7 ครอบครัว โดยมีบ้านอยู่ในพื้นที่เดียวกับวัดมหาบุศย์ หากเข้ามาในซอยวัดมหาบุศย์ จะถึงก่อนบ้านผมประมาณ 1 กิโลเมตร สมัยเด็กบ้านที่ผมอยู่จะอยู่ริมคลองพระโขนง เป็นบ้านทรงไทยโบราณ ใต้ถุนสูงมีป่าไผ่ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม ทุกวันพระผมมักจะเจอผู้หญิงในชุดสไบมาหาอยู่บ่อยๆ ภายหลังเชื่อว่าอาจจะเป็นวิญญาณแม่นาคที่มาหา" พีท กล่าว
พร้อมกันนี้ พีท ยังเล่าถึงชีวิตที่ผูกพันกับแม่นาค และประสบการณ์เฉียดตายที่เคยรับบทพ่อมากในละครเมื่อหลายปีก่อน โดยขณะนั้นพีทยังไม่ทราบว่า มีสายเลือดผูกพันกับแม่นาค กระทั่งวันหนึ่งต้องขับรถจากสิงห์บุรีไปถ่ายละครเรื่องอังกอร์ ปกติไม่ว่าจะถ่ายละครหนักแค่ไหนก็ไม่เคยหลับใน แต่วันนั้นประมาณตี 4 เกิดหลับใน แต่เหมือนมีคนสะกิด จึงรอดชีวิตมาได้
สำหรับ การตามหาปั้นเหน่งแม่นาค นายหนุ่ม-คงกะพัน แสงสุริยะ ผู้ดำเนินรายการ บางอ้อ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้เปิดเผยถึงข้อมูล "ปั้นเหน่งแม่นาค" ว่า จากการสืบค้นหาร่องรอยของ "ปั้นเหน่งแม่นาค" นั้นมีหลายร่องรอย โดยเชื่อว่า บุคคลที่มีมีปั้นเหน่งอยู่ในมือนั้นมีอยู่ 3 สาย ซึ่งแต่ละสายล้วนมีความน่าเชื่อถือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสาย "กำนันชูชาติ" ซึ่งตอนนี้ปั้นเหน่งแม่นาค ในมือกำนันชูชาติ ได้ถูกเปลี่ยนไปสู่ คุณเทพ กำแหง, สายที่ 2 อยู่กับ พระองค์เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร (องค์ชายกลาง) และสายที่ 3 อยู่กับชาวบ้านในละแวกวัดบางปะกอก
ขณะเดียวกัน อาจารย์เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูร ผู้รวบรวบเรื่องปั้นเหน่งแม่นาค ในวังนางเลิ้ง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการศึกษาข้อมูลทำให้เชื่อว่าปั้นเหน่งแม่นาคมีอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่กับทายาทผู้รับมรดกของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
อย่าง ไรก็ตาม ล่าสุด คุณเทพ กำแพง นักเทคโอเวอร์พระชื่อดัง ได้นำ "ปั้นเหน่ง" ที่เชื่อกันว่า เป็น ปั้นเหน่งแม่นาค ที่ยอมทุ่มเงินเป็นล้านๆ มาให้ชมในรายการ บางอ้อ พร้อมกับกล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระดูกผี หรือเครื่องรางธรรมดา แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเชื่อมโยงว่าแม่นาคพระโขนงมี อยู่จริง และหลังจากที่ได้ปั้นเหน่งนี้มา ก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ในบ้าน วันแรกที่นำเข้าบ้าน จู่ๆ ไฟก็ดับโดยไม่มีสาเหตุ บางครั้งก็มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำอบไทย ตลบอบอวลในบ้านด้วย
และ นี่คือบางส่วนของตำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค หรือที่หลายคนเรียกกันว่า กะโหลกหน้าผากแม่นาคพระโขนง ที่ถูกเล่าขานต่อๆ กันมา ว่ากันว่า ...ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่
แม้ ว่าสังคมไทยจะถูกพัดพาไปกับโลก ของเทศโนโลยีมากมาย แต่ในด้านความเชื่อในสิ่งลี้ลับก็ยังคงมีอยู่ในสังคมไทย สำหรับเรื่องราวที่คนไทยเกือบทั้งประเทศรู้จักและคุ้นเคยกันดี เห็นจะเป็น "ตำนานรักแม่นาคพระโขนง" เพราะทั้งคำเล่าขานที่ถูกเล่า และละครสร้างต่อๆ กันมาหลายยุคสมัย รวมถึงศาลของแม่นาค ณ วัดมหาบุศย์ ที่ยังคงมีผู้คนแวะเวียนมาสักการะบูชาอยู่ไม่ขาด ต่างก็เป็นเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่า ความเชื่อเรื่องแม่นาคพระโขนง ยังคงปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
ล่าสุด กำลังเป็นประเด็นที่หลายคนหยิบยกมาพูดถึงกันอย่างมาก เกี่ยวกับวัตถุล้ำค่าจากตำนานแม่นาคพระะโขนง ที่เรียกกันว่า "ปั้นเหน่งแม่นาค" หลายคนอาจสงสัยว่า ปั้นเหน่ง คืออะไร เกี่ยวข้องกับแม่นาคพระโขนงอย่างไร แล้วเหตุใดผู้คนถึงให้ความสนใจ
ความจริงแล้ว คำว่า "ปั้นเหน่ง" มีความหมายถึง หัวเข็มขัด แต่ที่เรียกว่า "ปั้นเหน่งแม่นาค" เพราะว่ากันว่าเป็นที่สิ่งสถิตของวิญญาณแม่นาคพระโขนง ทั้งนี้ ตามตำนานเล่ากันว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 เมื่อครั้งที่แม่นาค ออกอาละวาดหลอกหลอนผู้คนอย่างหนัก และครั้งหนึ่งข่าวแม่นาค หลอกหลอนหนักโดยเฉพาะที่แยกมหานาค(ในปัจจุบัน) ทำให้สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้มาทำการสะกดวิญญาณความเฮี้ยน และเจาะกะโหลกผีแม่นาคเอามาขัดเป็นมัน ลงอักขระอาคม ทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ซึ่งหลังจากนั้นได้นำปั้นเหน่งไปเก็บรักษาไว้ที่วัดระฆังโฆสิตาราม
ครั้นเมื่อท่านชรามากแล้ว ได้มอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากแม่นาคนี้ไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ ซึ่งในภายหลังท่านได้เป็นหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) ต่อมาท่านได้ประทานปั้นเหน่งแม่นาคให้กับหลวงพ่อพริ้ง หรือพระครูวิสุทธิ์ศิลาจารย์ แห่งวัดบางปะกอก ซึ่งภายหลังได้นำเอาปั้นเหน่งอันนี้มาถวายแด่กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ใน เวลาต่อมา ก่อนที่ปั้นเหน่งแม่นาค จะถูกเปลี่ยนมือไปอีกหลายทอด และหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างไรก็ตาม "ปั้นเหน่งหรือกะโหลกหน้าผากแม่นาค" ถือได้ว่าเป็นหลักฐานที่หลงเหลือและจับต้องได้เพียงชิ้นเดียว จากตำนานรักอมตะระหว่างผีกับคน ที่ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่า ของศักดิ์สิทธิ์จากตำนานรักแม่นาค ตกทอดไปอยู่ในมือของผู้ใด?
ครั้งหนึ่ง อดีตพระเอกคนดัง ซึ่งเคยรับบทพ่อมาก เมื่อหลายปีก่อน อย่าง พีท ทองเจือ ได้เคยออกมาประกาศตามหาปั้นเหน่งแม่นาค เพื่อนำมาบูชา หลังเปิดใจกลางรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งว่า เขามีความเชื่อว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับแม่นาคพระโขนง โดยอ้างต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากตระกูล "เทพหัสดิน ณ อยุธยา" ซึ่งแม่นาคถือเป็นญาติฝ่ายคุณยาย นับญาติกันแล้ว พีทมีศักดิ์เป็นเหลนหรือโหลนของแม่นาค ที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 2 นอกจากนั้น พัทยังอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับบ้านที่เคยเป็นที่อยู่อาศัยของแม่นาคเมื่อ ในอดีต
"ครอบ ครัวผมเป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งญาติๆ จะอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งคุณพ่อ, คุณแม่, น้องสาว, น้า และอา รวมประมาณ 6-7 ครอบครัว โดยมีบ้านอยู่ในพื้นที่เดียวกับวัดมหาบุศย์ หากเข้ามาในซอยวัดมหาบุศย์ จะถึงก่อนบ้านผมประมาณ 1 กิโลเมตร สมัยเด็กบ้านที่ผมอยู่จะอยู่ริมคลองพระโขนง เป็นบ้านทรงไทยโบราณ ใต้ถุนสูงมีป่าไผ่ ปัจจุบันนี้ก็ยังคงน่ากลัวเหมือนเดิม ทุกวันพระผมมักจะเจอผู้หญิงในชุดสไบมาหาอยู่บ่อยๆ ภายหลังเชื่อว่าอาจจะเป็นวิญญาณแม่นาคที่มาหา" พีท กล่าว
พร้อมกันนี้ พีท ยังเล่าถึงชีวิตที่ผูกพันกับแม่นาค และประสบการณ์เฉียดตายที่เคยรับบทพ่อมากในละครเมื่อหลายปีก่อน โดยขณะนั้นพีทยังไม่ทราบว่า มีสายเลือดผูกพันกับแม่นาค กระทั่งวันหนึ่งต้องขับรถจากสิงห์บุรีไปถ่ายละครเรื่องอังกอร์ ปกติไม่ว่าจะถ่ายละครหนักแค่ไหนก็ไม่เคยหลับใน แต่วันนั้นประมาณตี 4 เกิดหลับใน แต่เหมือนมีคนสะกิด จึงรอดชีวิตมาได้
สำหรับ การตามหาปั้นเหน่งแม่นาค นายหนุ่ม-คงกะพัน แสงสุริยะ ผู้ดำเนินรายการ บางอ้อ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้เปิดเผยถึงข้อมูล "ปั้นเหน่งแม่นาค" ว่า จากการสืบค้นหาร่องรอยของ "ปั้นเหน่งแม่นาค" นั้นมีหลายร่องรอย โดยเชื่อว่า บุคคลที่มีมีปั้นเหน่งอยู่ในมือนั้นมีอยู่ 3 สาย ซึ่งแต่ละสายล้วนมีความน่าเชื่อถือทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสาย "กำนันชูชาติ" ซึ่งตอนนี้ปั้นเหน่งแม่นาค ในมือกำนันชูชาติ ได้ถูกเปลี่ยนไปสู่ คุณเทพ กำแหง, สายที่ 2 อยู่กับ พระองค์เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเฉลิมพลทิฆัมพร (องค์ชายกลาง) และสายที่ 3 อยู่กับชาวบ้านในละแวกวัดบางปะกอก
ขณะเดียวกัน อาจารย์เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูร ผู้รวบรวบเรื่องปั้นเหน่งแม่นาค ในวังนางเลิ้ง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากการศึกษาข้อมูลทำให้เชื่อว่าปั้นเหน่งแม่นาคมีอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเล่า ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่กับทายาทผู้รับมรดกของกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
อย่าง ไรก็ตาม ล่าสุด คุณเทพ กำแพง นักเทคโอเวอร์พระชื่อดัง ได้นำ "ปั้นเหน่ง" ที่เชื่อกันว่า เป็น ปั้นเหน่งแม่นาค ที่ยอมทุ่มเงินเป็นล้านๆ มาให้ชมในรายการ บางอ้อ พร้อมกับกล่าวว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กระดูกผี หรือเครื่องรางธรรมดา แต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ซึ่งเชื่อมโยงว่าแม่นาคพระโขนงมี อยู่จริง และหลังจากที่ได้ปั้นเหน่งนี้มา ก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ในบ้าน วันแรกที่นำเข้าบ้าน จู่ๆ ไฟก็ดับโดยไม่มีสาเหตุ บางครั้งก็มีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นน้ำอบไทย ตลบอบอวลในบ้านด้วย
และ นี่คือบางส่วนของตำนาน ปั้นเหน่งแม่นาค หรือที่หลายคนเรียกกันว่า กะโหลกหน้าผากแม่นาคพระโขนง ที่ถูกเล่าขานต่อๆ กันมา ว่ากันว่า ...ไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่
วัดมหาบุศย์ วัดแม่นาคพระโขนง
โฟโต้ออนทัวร์คราวนี้อาจมาแปลกกว่าทุกครั้ง จะพาไปเที่ยววัดที่หลายคนได้ยินแล้วอาจขนหัวลุก นั้นก็คือ วัดแม่นาคพระโขนง หรือวัดมหาบุศย์ ซึ่งไม่นานมานี้ได้มีโอกาสไปร่วมงานสวดอภิธรรมหรืองานศพของบิดาเพื่อนพนักงาน ในค่ำคืนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549
วัดมหาบุศย์ผมไม่เคยได้ยินและ ไม่รู้จักมาก่อน แต่เมื่อมาถึงวัดแล้วก็ถึงบางอ้อว่านี่หรือ เป็นวัดที่มีประวัติของแม่นาคพระโขนงอันลือลั่นไปทั่วไทย วัดนี้อยู่แถวๆอ่อนนุชเขตพระโขนงนี้เอง แถมมีรถไฟฟ้ามาถึงด้วย (เข้าใจว่าน่าจะเป็นสถานีปลายทาง)
จากปากซอยอ่อนนุช7 มาประมาณ 100 เมตร เลี้ยวซ้ายมาอีกหน่อยก็ถึงวัดแล้ว ไม่ได้อยู่ลึกลับซับซ้อนหรืออยู่ในที่มีบรรยากาศน่ากลัวเหมือนที่คิด และไม่ห่างจากลานจอดรถก็เห็นเงามืดของตึกกำลังก่อสร้างหลังใหญ่สูงราว 20 ชั้น โผล่พ้นยอดไม้ริมกำแพงวัด ซึ่งอนาคตคงหนีไม่พ้นที่จะถูกล้อมด้วยตึกสูงๆ เหมือนกับวัดในใจกลางกรุงเทพ
นี่ คือวัดมหาบุศย์ที่ตามเนื้อเรื่องแม่นาคพระโขนงบอกว่าเป็นท้องทุ่งที่ไม่ค่อย มีบ้านคนมากนัก และแทบไม่น่าเชื่อว่าจากจุดเริ่มต้น ณ แห่งนี้ ได้มีการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์อยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ยุคภาพยนต์ขาว - ดำ มาจนถึงยุคปัจจุบันที่ประชาชนหลายฝ่ายเรียกร้องให้
ผู้นำประเทศลาออกอันเนื่องมาจากขาดจริยธรรมและขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
ผู้นำประเทศลาออกอันเนื่องมาจากขาดจริยธรรมและขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ
พี่มาก ขาๆๆๆ.....คำ พูดที่แม่นาคเรียกผัวของตนเองอย่างโหยหวน พูดช้าๆลากเสียงยาวๆ และยังมีเสียงหมาหอนอีกด้วย ใครได้ยินแล้วก็อาจขนลุก หรือใครดูภาพยนต์เรื่องนี้จากทีวีก็คงต้องหาคนอื่นมานั่งดูเป็นเพื่อนด้วย (จะได้ตื่นกลัวเหมือนๆกัน)
เรื่องแล้วเรื่องเล่าที่นำ มาสร้างจนเกือบจะพูดได้ว่าเป็นหนังผีที่อยู่คู่สังคมไทย หรือเป็นหนังผีประจำชาติว่างั้นเถอะ และหากมีการโหวตให้คะแนนความน่ากลัวกันแล้ว เรื่องแม่นาคพระโขนงก็คงจะกินขาดอย่างไม่ต้องสงสัย หนังผีปอบ ผีหัวขาด หรือผีสามบาท ผีสามสลึงอะไรนั้นนะ ยังไงก็ไม่น่ากลัวเท่าแม่นาคเป็นแน่ ยิ่งเป็นตอนที่พ่อมากทำช้อนตกลงใต้ถุนเรือนและแม่นาคก็เอื้อมมือยาวๆลงไป เก็บด้วยความรวดเร็ว ถือเป็นฉากที่ทุกคนคงจะจำกันได้
มี บางคนบอกว่าเรื่องแม่นาคคลายความขลังความน่ากลัวลงไปเยอะ ตั้งแต่ผู้สร้างได้เอาดาวโป้ ดาวยั่ว มาเล่นเป็นบทนางนาค นักวิเคราะห์เรื่องผีๆจึงฝันธงลงไปว่า เป็นไปได้ที่ผู้ชมคิดว่าเป็นหนังเรตอาร์ อารมณ์ของความกลัวจึงไม่เกิดขึ้น มีแต่จะปะทุเป็นอารมณ์อย่างอื่น และจะคอยจ้องดูแต่ฉากยั่วยวนของนางนาคมากกว่า
ผมไม่ได้ดูในตอนนั้นจึงมิบังอาจออกความเห็นได้ เคยดูแต่เรื่องประเภทผีน้ำมันพราย ที่เค้าโครงเรื่องเป็นหนังผีแต่ผู้สร้างคงหวังดี ไม่อยากให้เกิดความน่ากลัว จึงแทรกบทยั่วกิเลสยั่วอารมณ์กันทั้งเรื่อง เพื่อสื่อให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของน้ำมันพรายว่ามันได้ผลและร้ายกาจขนาดไหน หนังผีแบบไทยๆก็เป็นเช่นนี้แหละ เรื่องไหนเรื่องนั้น ไม่มีบทยั่วก็มีบทขำกลิ้ง ที่เรียกเสียงฮากันทั้งโรง หนังผีจึงกลายเป็นหนังตลกไป และไม่น่ากลัวเหมือนที่คิด
ผมไม่ได้ดูในตอนนั้นจึงมิบังอาจออกความเห็นได้ เคยดูแต่เรื่องประเภทผีน้ำมันพราย ที่เค้าโครงเรื่องเป็นหนังผีแต่ผู้สร้างคงหวังดี ไม่อยากให้เกิดความน่ากลัว จึงแทรกบทยั่วกิเลสยั่วอารมณ์กันทั้งเรื่อง เพื่อสื่อให้เห็นอิทธิฤทธิ์ของน้ำมันพรายว่ามันได้ผลและร้ายกาจขนาดไหน หนังผีแบบไทยๆก็เป็นเช่นนี้แหละ เรื่องไหนเรื่องนั้น ไม่มีบทยั่วก็มีบทขำกลิ้ง ที่เรียกเสียงฮากันทั้งโรง หนังผีจึงกลายเป็นหนังตลกไป และไม่น่ากลัวเหมือนที่คิด
วัดมหาบุศย์เป็นวัดเก่าแก่อยู่ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร สร้างใน พ.ศ. 2305 หรือสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ถึง ปัจจุบันก็มีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว ในเรื่องแม่นาคพระโขนงก็ได้มีการกล่าวถึงวัดนี้ตอนที่พ่อมากหนีนางนาคออกมา จากบ้าน และได้มาอาศัยวัดนี้หลบซ่อน หลังรู้ว่าภรรยาของตนเป็นผีตายทั้งกลม นางนาคได้ออกตามหาผัวอันเป็นสุดที่รัก แต่ไม่สามารถเข้ามาในวัดได้ จึงต้องมาหลอกหลอนผู้สัญจรผ่านไปมาด้วยความโกรธแค้น
ตำนานแม่นาคจะมีจริง หรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ แต่เรื่องราวแม่นาคพระโขนงมีมานานนับร้อยๆปีแล้ว ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน แต่ที่แน่ๆทุกวันนี้ศาลแม่นาคที่อยู่หลังวัดกลายเป็นแหล่งที่พึ่งทางใจ และเป็นสถานที่แสวงโชคของผู้อยากรวยทางลัดไปแล้ว
คน ที่เคยมาวัดนี้เล่าให้ฟังว่าในคืนก่อนวันหวยออก บริเวณศาลอันเป็นที่สิงสถิตของแม่นาค จะมีประชาชนเป็นจำนวนมากพากันมากราบไหว้พร้อมกับขูดหาเลขที่ต้นตะเตียนข้าง ศาล ซึ่งเป็นต้นเก่าต้นแก่ที่แห้งตายจนเหลือแต่ตอ ตะเคียนต้นนี้ถูกทาด้วยน้ำมัน ถูกลนด้วยเทียนไข และถูกถูไม่รู้กี่ร้อยกี่พันนิ้วมือ จนลำต้นเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำมีรูปร่างแปลกๆ
การบูชาแม่นาค (ซึ่งบางแห่งก็เขียนป้าย "ย่านาค" ) มีหลายรูปแบบ เช่นอาจซื้อผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกมาพันรอบต้นไม้ บางคนก็ซื้อของไหว้เช่นชุดไทย สำหรับแม่นาค หรือชุดเด็กและของเล่นเด็กสำหรับลูกแม่นาค(ที่ตายทั้งกลม) หรือบางคนก็เอารูปวาดที่จินตนาการว่าเป็นแม่นาคมามอบให้ ซึ่งรูปแบบการบูชาแม่นาคนี้ ก็อาจแตกต่างไปจากที่อื่นๆ และที่แปลกก็คือมีคนซื้อโทรทัศน์จอใหญ่มาเปิดให้แม่นาคได้ดูด้วย เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว
ความเชื่อ ความชอบ ในสิ่งเหล่านี้หลายคนอาจเห็นเป็นเรื่องแปลก บางคนอาจมองว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ เป็นเรื่องของคนสิ้นหวังขาดที่พึ่งแต่เรื่องนี้คงไปว่าใครไม่ได้ ทุกคนมีเหตุผล มีความเชื่อเป็นการส่วนตัว และเป็นสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาช้านาน
โฟโต้ออนทัวร์นำภาพมาลงเวปไซต์ในเมนู City tour เพื่อให้เห็นความแปลกที่เกิดขึ้นในรอบๆสังคมที่เราอยู่ ใครจะเชื่อ และอยากเดินทางไปถูต้นตะเคียนด้วยมือตนเองเพื่อหาเลขเด็ดก็ตามใจ ใครอยากไปเที่ยวหรือไปถ่ายภาพก็ตามสะดวก และอย่าลืมนะครับถ้าจะมาแสวงโชคกันแล้วผู้สันทัดกรณีที่ไม่ประสงค์จะออกนาม แนะนำว่าควรจะมาตอนกลางคืน ยิ่งดึก ก็อาจเห็นตัวเลขชัดขึ้น
เรื่องจริงนะครับ...ไม่ได้โม้ (เหมือนสมรักษ์) แน่นอน
เรื่องจาก http://www.photoontour.com
สมเด็จโตสยบฤทธิ์แม่นาคพระโขนง
ครั้น เมื่อนางนาค บ้านพระโขนง เขาตายทั้งกลม ปีศาจของนางนาคกำเริบ เขาลือกันต่อมาว่า ปีศาจนางนาคมาเป็นรูปคน ช่วยผัววิดน้ำเข้านาได้ จนทำให้ชายผู้ผัวมีเมียใหม่ไม่ได้ ปีศาจนางนาคเที่ยวรังควานหลอนหลอก คนเดินเรือในคลองพระโขนงไม่ได้ ตั้งแต่เวลาเย็นตะวันรอนๆ ลงไป ต้องแลเห็นปีศาจนางนาคเดินห่มผ้าสีบ้าง โหนตัวบนต้นโพธิ์ต้นไทรบ้าง พระสงฆ์ในวัดพระโขนงมันก็ล้อเล่น จนกลางคืนพระภิกษุสามเณรต้องนอนรวมกัน ถ้าปลีกไปนอนองค์เดียว เป็นต้องถูกปีศาจนางนาครบกวน จนเสียงกร๊อกแกร๊กอื่นๆ ก็เหมาว่าเป็นปีศาจนางนาคไปหมด พวกหมอผีไปทำเป็นผู้มีวิเศษตั้งพิธีผูกมัดเรียกภูตมัน มันก็เข้ามานั่งแลบลิ้นเหลือกตาเอา เจ้าหมอต้องเจ๊งมันมาหลายคน จนพวกแย่งพวกชิงล้วงลัก ปลอมตัวเป็นนางนาค หลอกลวงเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านกลัวนางนาค เลยมุดหัวเข้ามุ้ง ขโมยเก็บเอาของไปสบาย ค่ำลงก็ต้องล้อมต้องนั่งกองกันยันรุ่งก็มี
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านรู้เหตุปีศาจนางนาคกำเริบเหลือมือหมอ ท่านจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศ ในคลองพระโขนง พอค่ำท่านก็ไปนั่งอยู่ปากหลุม แล้วท่านเรียกนางนาคปีศาจขึ้นมาสนทนากัน ฝ่ายปีศาจนางนาคก็ขึ้นมาพูดจาตกลงกันอย่างไรไม่ทราบ ลงผลท้ายที่สุดท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากนางนาคที่เขาฝังไว้มาได้ แล้วท่านมานั่งขัดเกลาจนเป็นมัน ท่านนำขึ้นมาวัดระฆัง ท่านลงยันต์เป็นอักษรไว้ตลอด เจาะเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ไปไหนท่านก็เอาติดเอวไปด้วย ปีศาจในพระโขนงก็หายกำเริบซาลง เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ) ยังเป็นสามเณรอยู่ในกุฏิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นางนาคได้ออกมารบกวน ม.ร.ว.เณรๆ ก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สีกามากวนเขา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านร้องว่า นางนาคเอ๊ย อย่ารบกวนคุณเณรซี ปีศาจนั้นก็สงบไป นานๆ จึงออกมารบกวน ครั้นท่านชรามากแล้ว ท่านจึงมอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากนางนาค ประทานไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ มอบหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญให้ไปอยู่กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ด้วย นานๆ นางนาคออกมาหยอกเย้าหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญ
หม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญต้องร้องฟ้องหม่อมเจ้าพระพุทธบาทฯ ๆ ต้องทรงกริ้วนางนาคว่า เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามารบกวน คุณเณรจะดูหนังสือหนังหา เสร็จกริ้วแล้วก็เงียบไป (เรื่องนี้สำหรับเจ้านายหม่อมราชวงศ์วังหลังเล่าให้ฟัง)
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านรู้เหตุปีศาจนางนาคกำเริบเหลือมือหมอ ท่านจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศ ในคลองพระโขนง พอค่ำท่านก็ไปนั่งอยู่ปากหลุม แล้วท่านเรียกนางนาคปีศาจขึ้นมาสนทนากัน ฝ่ายปีศาจนางนาคก็ขึ้นมาพูดจาตกลงกันอย่างไรไม่ทราบ ลงผลท้ายที่สุดท่านได้เจาะเอากระดูกหน้าผากนางนาคที่เขาฝังไว้มาได้ แล้วท่านมานั่งขัดเกลาจนเป็นมัน ท่านนำขึ้นมาวัดระฆัง ท่านลงยันต์เป็นอักษรไว้ตลอด เจาะเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ไปไหนท่านก็เอาติดเอวไปด้วย ปีศาจในพระโขนงก็หายกำเริบซาลง เมื่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ) ยังเป็นสามเณรอยู่ในกุฏิ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นางนาคได้ออกมารบกวน ม.ร.ว.เณรๆ ก็ฟ้องสมเด็จฯ ว่า สีกามากวนเขาเจ้าข้า สีกามากวนเขา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านร้องว่า นางนาคเอ๊ย อย่ารบกวนคุณเณรซี ปีศาจนั้นก็สงบไป นานๆ จึงออกมารบกวน ครั้นท่านชรามากแล้ว ท่านจึงมอบปั้นเหน่งกระดูกหน้าผากนางนาค ประทานไว้กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ มอบหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญให้ไปอยู่กับหม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันทน์ด้วย นานๆ นางนาคออกมาหยอกเย้าหม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญ
หม่อมราชวงศ์สามเณรเจริญต้องร้องฟ้องหม่อมเจ้าพระพุทธบาทฯ ๆ ต้องทรงกริ้วนางนาคว่า เป็นผู้หญิงยิงเรืออย่ามารบกวน คุณเณรจะดูหนังสือหนังหา เสร็จกริ้วแล้วก็เงียบไป (เรื่องนี้สำหรับเจ้านายหม่อมราชวงศ์วังหลังเล่าให้ฟัง)
แม่นาคพระโขนง
ตำนานแม่นาคพระโขนง แม่นาคพระโขนง เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีตายทั้งกลมที่เป็นที่รู้จักกันดีเรื่องหนึ่งของ ไทย เชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในรัชสมัย รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่มีตัวตนอยู่จริง ปัจจุบันมี ศาลแม่นาค ตั้งอยู่ที่ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร
เรื่องเล่าแม่นาคพระโขนง
ขณะนั้นมีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่กินด้วยกันที่ย่านพระโขนง ฝ่ายสามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนนางนาคตั้งครรภ์อ่อนๆ นายมากก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปเป็นทหารประจำการณ์ที่บางกอกตามหมายเรียก นางนาคจึงต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง
ยิ่งนานวัน ท้องของนางนาคก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ แต่ว่าลูกของนางนาคไม่ยอมกลับหัว และคลอดออกมาตามธรรมชาติ ส่งผลให้นางนาคเจ็บปวดยิ่งนัก และในที่สุดนางนาคก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ต้องสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับลูกในท้อง จนกลายเป็นผีตายทั้งกลม
หลังจากนั้น ศพของนางนาคได้ถูกนำไปฝังไว้ยังป่าช้าหลังวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการจากทหารก็กลับมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบว่า เมียของตัวเองได้ตายจากไปแล้ว นายมากกลับมาถึงก็ไม่ได้พบเพื่อนบ้านเลย เนื่องจากหลังจากที่นางนาคตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ตัวบ้านของนางนาคอีก เลย เพราะกลัวผีนางนาค ซึ่งต่างก็เชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ครั้นเมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็อยู่กินกับนางนาคต่อไป นางนาคก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมาก แม้จะบอกนายมากว่าอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายจากไปแล้ว
จนวันหนึ่งขณะที่นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนาคทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นบ้านเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน
นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาค ขณะนั้นนางนาคเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าสามีผู้เป็นที่รักได้รู้ความจริง และกำลังจะหนีไป จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนาคก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนาคไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วสามีตัวเอง ทำให้นางนาคออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบางพระโขนง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาค ความเชื่อส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง.
แต่สุดท้ายผีนางนาค ก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ [โต พรหมรังสี] สยบลงได้ โดยการใช้พระธรรมชี้นำให้นางนาคเข้าใจในความเป็นจริงว่าผีอยู่กับคนไม่ได้ ท่านสมเด็จฯได้นำกะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนาคออกมาทำปั้นเหน่ง [หัวเข็มขัดโบราณ] เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนาคสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่นๆ อีกหลายมือ ตั้งแต่บัดนั้นมา ตำนานรักของนางนาค นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจคนไทยอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้
ย้อนรอยแม่นาคพระโขนง
เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ปรากฏอยู่ทั่วไปตามความเชื่อของคนไทยสมัยก่อน และปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าชื่อสี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นาคอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย , เชื่อว่าพระสงฆ์รูปที่มาปราบแม่นาคได้นั้นคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ [โต พรหมรังสี] อีกทั้งยังเชื่อว่า ท่านได้เจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นาคทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาค และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก ,หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อสมัยเด็กๆ ท่านเคยเห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นรอยเท้าแม่นาคบนขื่อเพดานวัดมหาบุศย์ด้วย ซึ่งปัจจุบันศาลาที่ถูกเขียนนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว
ถึง อย่างไร ความเชื่อเรื่องแม่นาคพระโขนง ก็ยังปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทย ณ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง ปัจจุบันนี้ มีศาลแม่นาคตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่สักการะ เคารพบูชาอย่างมากของบุคคลในและนอกพื้นที่ โดยบุคคลเหล่านี้จะเรียกแม่นาคด้วยความเคารพว่า "ย่านาค" บ้างก็เชื่อกันว่าแม่นาคได้ไปเกิดใหม่แล้ว
ในทางบันเทิง เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง ในรอบหลายปี อีกทั้งยังสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์ตลกล้อเลียนก็เคยมาแล้ว โดยล่าสุดเป็นละครเวทีโอเปร่าอำนวยการแสดงโดย สมเถา สุจริตกุล ในปี พ.ศ. 2545
วันหนึ่ง..ที่ศาลย่านาค..
หลายครั้งหลายคราวที่ พี่ลาเต้ ได้มีโอกาสได้เข้าไปไหว้รูปปั้นย่านาค ในศาลด้านหลังวัดมหาบุศย์..พื้นที่ตรงนั้นบอกเล่าเหตุการณ์ในอดีตได้เป็น อย่างดี จนสามารถจินตนาการให้นึกภาพตามได้ไม่ยาก..มีศาลหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับริมน้ำ ด้านหลังของศาลเป็นสุสานของวัดมหาบุศย์ที่เต็มไปด้วยโลงศพ และต้นตะเคียน ด้านหน้าของศาลติดคลองสายหนึ่งที่ชื่อว่า "คลองพระโขนง" บรรยากาศในละแวกนั้นจะคึกคักมากๆในช่วงกลางวัน แต่ก็จะเงียบสงัดวังเวงในยามค่ำคืน [ยกเว้นวันที่หวยออกจะมีคนเยอะมากๆหลายเท่า]
เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้วว่า ชายไทยคนไหนที่ไม่อยากติดทหาร หรือญาติพี่น้องกลุ่มใดไม่อยากให้ลูกหลายต้องเป็นทหาร จะต้องมาขอพรจากย่านาค ซึ่งก็จะสมหวังไม่ได้เป็นทหารสมใจ..เพราะเชื่อว่าท่านไม่ชอบการเป็นทหาร เพราะทหารทำให้ท่านกับสามีต้องพรากจากกัน..
ครั้งหนึ่ง พี่ลาเต้ เคยพาเพื่อนๆในกลุ่มไปไหว้ท่านพร้อมกัน..ทุกคนไม่เคยมา ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกของทุกคน ทันทีที่ถึงศาล พี่ลาเต้ ก็พาเพื่อนๆไปดูสถานที่ที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานหลายๆแห่ง เช่น ต้นตะเคียน ป่าช้า ศาลาริมน้ำ ที่ตั้งบ้านย่านาคในอดีต หรือแม้กระทั่งเดินเข้าไปหาพระเพื่อถามว่า ศาลาที่มีรอยเท้าย่านาคอยู่ตรงไหน..
เมื่อได้ทราบประวัติ และหลักฐานต่างๆจนเกือบครบ พี่ลาเต้ ก็พาเพื่อนๆเข้าไปไหว้ย่านาค..บรรยากาศในศาลก็เต็มไปด้วยชุดไทย ชุดเด็ก และดอกไม้ต่างๆ ที่คนนำมาไหว้ และแก้บน..พอไหว้เสร็จก็ทยอยออกมาทีละคน..เพื่อนๆ พี่ลาเต้ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..รู้สึกหัวใจเต้นแรงมากๆตอนที่ปิดทองที่ หุ่นย่านาค แม้กระทั่งระหว่างทางที่นั่งรถเดินทางกลับ เพื่อนแต่ละคนก็เล่าว่าตอนนี้ในหัวยังเห็นเป็นรูปหุ่นย่านาคตลอดเวลา..
เรื่องเล่าแม่นาคพระโขนง
ขณะนั้นมีผัวหนุ่มเมียสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่กินด้วยกันที่ย่านพระโขนง ฝ่ายสามีชื่อนายมาก ส่วนภรรยาชื่อนางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนนางนาคตั้งครรภ์อ่อนๆ นายมากก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปเป็นทหารประจำการณ์ที่บางกอกตามหมายเรียก นางนาคจึงต้องอยู่เพียงคนเดียวตามลำพัง
ยิ่งนานวัน ท้องของนางนาคก็ยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จนครบกำหนดคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ แต่ว่าลูกของนางนาคไม่ยอมกลับหัว และคลอดออกมาตามธรรมชาติ ส่งผลให้นางนาคเจ็บปวดยิ่งนัก และในที่สุดนางนาคก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหว ต้องสิ้นลมหายใจไปพร้อมกับลูกในท้อง จนกลายเป็นผีตายทั้งกลม
หลังจากนั้น ศพของนางนาคได้ถูกนำไปฝังไว้ยังป่าช้าหลังวัดมหาบุศย์ ส่วนนายมากเมื่อปลดประจำการจากทหารก็กลับมายังพระโขนงโดยที่ยังไม่ทราบว่า เมียของตัวเองได้ตายจากไปแล้ว นายมากกลับมาถึงก็ไม่ได้พบเพื่อนบ้านเลย เนื่องจากหลังจากที่นางนาคตายไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ตัวบ้านของนางนาคอีก เลย เพราะกลัวผีนางนาค ซึ่งต่างก็เชื่อกันว่าวิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นเฮี้ยน และมีความดุร้ายเป็นยิ่งนัก
ครั้นเมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็อยู่กินกับนางนาคต่อไป นางนาคก็คอยพยายามรั้งนายมากให้อยู่ที่บ้านตลอดเวลา ไม่ให้ออกไปพบใคร เพราะเกรงว่านายมากจะรู้ความจริงจากชาวบ้าน นายมากก็เชื่อเมีย เพราะรักเมีย ไม่ว่าใครที่มาพบเจอนายมาก แม้จะบอกนายมากว่าอย่างไร นายมากก็ไม่เชื่อว่าเมียตัวเองตายจากไปแล้ว
จนวันหนึ่งขณะที่นางนาคตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนาคทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน ด้วยความรีบร้อน นางจึงเอื้อมมือยาวลงมาจากร่องบนพื้นบ้านเพื่อเก็บมะนาวที่อยู่ใต้ถุนบ้าน นายมากขณะนั้น บังเอิญผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่ออย่างเต็มร้อย ว่าเมียตัวเองเป็นผีตามที่ชาวบ้านว่ากัน
นายมากวางแผนหลบหนีผีนางนาค ขณะนั้นนางนาคเมื่อเห็นผิดสังเกตจึงออกมาดู ทำให้รู้ว่าสามีผู้เป็นที่รักได้รู้ความจริง และกำลังจะหนีไป จึงตามนายมากไปทันที นายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมาจึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด นางนาคก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะผีกลัวใบหนาด นายมากหนีไปพึ่งพระที่วัด นางนาคไม่ลดละพยายาม ด้วยความที่เจ็บใจชาวบ้านที่คอยยุแยงตะแคงรั่วสามีตัวเอง ทำให้นางนาคออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนหวาดกลัวกันไปทั้งบางพระโขนง ซึ่งความเฮี้ยนของนางนาค ความเชื่อส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง.
แต่สุดท้ายผีนางนาค ก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ [โต พรหมรังสี] สยบลงได้ โดยการใช้พระธรรมชี้นำให้นางนาคเข้าใจในความเป็นจริงว่าผีอยู่กับคนไม่ได้ ท่านสมเด็จฯได้นำกะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนาคออกมาทำปั้นเหน่ง [หัวเข็มขัดโบราณ] เพื่อเป็นการสะกดวิญญาณ และนำนางนาคสู่สุคติ หลังจากนั้น ปั้นเหน่งชิ้นนั้นก็ตกทอดไปยังเจ้าของอื่นๆ อีกหลายมือ ตั้งแต่บัดนั้นมา ตำนานรักของนางนาค นับเป็นตำนานรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจคนไทยอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้
ย้อนรอยแม่นาคพระโขนง
เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ปรากฏอยู่ทั่วไปตามความเชื่อของคนไทยสมัยก่อน และปัจจุบัน เช่น เชื่อว่าชื่อสี่แยกมหานาค ที่เขตดุสิตในปัจจุบัน มาจากการที่แม่นาคอาละวาดขยายตัวให้ใหญ่ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ก็ยังเคยเสด็จทอดพระเนตรด้วย , เชื่อว่าพระสงฆ์รูปที่มาปราบแม่นาคได้นั้นคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ [โต พรหมรังสี] อีกทั้งยังเชื่อว่า ท่านได้เจาะกะโหลกที่หน้าผากของแม่นาคทำเป็นปั้นเหน่ง เพื่อสะกดวิญญาณแม่นาค และได้สร้างห้องเพื่อเก็บปั้นเหน่งชิ้นนี้ไว้ต่างหาก ,หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ก็ยังได้เขียนบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อสมัยเด็กๆ ท่านเคยเห็นสิ่งที่เชื่อว่าเป็นรอยเท้าแม่นาคบนขื่อเพดานวัดมหาบุศย์ด้วย ซึ่งปัจจุบันศาลาที่ถูกเขียนนี้ได้ถูกรื้อถอนไปแล้ว
ถึง อย่างไร ความเชื่อเรื่องแม่นาคพระโขนง ก็ยังปรากฏอยู่ในความเชื่อของคนไทย ณ วัดมหาบุศย์ เขตสวนหลวง ปัจจุบันนี้ มีศาลแม่นาคตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่สักการะ เคารพบูชาอย่างมากของบุคคลในและนอกพื้นที่ โดยบุคคลเหล่านี้จะเรียกแม่นาคด้วยความเคารพว่า "ย่านาค" บ้างก็เชื่อกันว่าแม่นาคได้ไปเกิดใหม่แล้ว
ในทางบันเทิง เรื่องราวของแม่นาคพระโขนง ได้ถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง ในรอบหลายปี อีกทั้งยังสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์ตลกล้อเลียนก็เคยมาแล้ว โดยล่าสุดเป็นละครเวทีโอเปร่าอำนวยการแสดงโดย สมเถา สุจริตกุล ในปี พ.ศ. 2545
วันหนึ่ง..ที่ศาลย่านาค..
หลายครั้งหลายคราวที่ พี่ลาเต้ ได้มีโอกาสได้เข้าไปไหว้รูปปั้นย่านาค ในศาลด้านหลังวัดมหาบุศย์..พื้นที่ตรงนั้นบอกเล่าเหตุการณ์ในอดีตได้เป็น อย่างดี จนสามารถจินตนาการให้นึกภาพตามได้ไม่ยาก..มีศาลหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับริมน้ำ ด้านหลังของศาลเป็นสุสานของวัดมหาบุศย์ที่เต็มไปด้วยโลงศพ และต้นตะเคียน ด้านหน้าของศาลติดคลองสายหนึ่งที่ชื่อว่า "คลองพระโขนง" บรรยากาศในละแวกนั้นจะคึกคักมากๆในช่วงกลางวัน แต่ก็จะเงียบสงัดวังเวงในยามค่ำคืน [ยกเว้นวันที่หวยออกจะมีคนเยอะมากๆหลายเท่า]
เป็นความเชื่อที่มีมานานแล้วว่า ชายไทยคนไหนที่ไม่อยากติดทหาร หรือญาติพี่น้องกลุ่มใดไม่อยากให้ลูกหลายต้องเป็นทหาร จะต้องมาขอพรจากย่านาค ซึ่งก็จะสมหวังไม่ได้เป็นทหารสมใจ..เพราะเชื่อว่าท่านไม่ชอบการเป็นทหาร เพราะทหารทำให้ท่านกับสามีต้องพรากจากกัน..
ครั้งหนึ่ง พี่ลาเต้ เคยพาเพื่อนๆในกลุ่มไปไหว้ท่านพร้อมกัน..ทุกคนไม่เคยมา ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกของทุกคน ทันทีที่ถึงศาล พี่ลาเต้ ก็พาเพื่อนๆไปดูสถานที่ที่ถูกเล่าขานเป็นตำนานหลายๆแห่ง เช่น ต้นตะเคียน ป่าช้า ศาลาริมน้ำ ที่ตั้งบ้านย่านาคในอดีต หรือแม้กระทั่งเดินเข้าไปหาพระเพื่อถามว่า ศาลาที่มีรอยเท้าย่านาคอยู่ตรงไหน..
เมื่อได้ทราบประวัติ และหลักฐานต่างๆจนเกือบครบ พี่ลาเต้ ก็พาเพื่อนๆเข้าไปไหว้ย่านาค..บรรยากาศในศาลก็เต็มไปด้วยชุดไทย ชุดเด็ก และดอกไม้ต่างๆ ที่คนนำมาไหว้ และแก้บน..พอไหว้เสร็จก็ทยอยออกมาทีละคน..เพื่อนๆ พี่ลาเต้ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า..รู้สึกหัวใจเต้นแรงมากๆตอนที่ปิดทองที่ หุ่นย่านาค แม้กระทั่งระหว่างทางที่นั่งรถเดินทางกลับ เพื่อนแต่ละคนก็เล่าว่าตอนนี้ในหัวยังเห็นเป็นรูปหุ่นย่านาคตลอดเวลา..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)